PLANET เตรียมจับมือบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายรายลุยธุรกิจ Data Center เต็มตัว บิ๊กบอส “ประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์” ชี้ ธุรกิจบริษัทฯรับอานิสงส์ รัฐไฟเขียวยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ในกิจการเกี่ยวกับ Data Center และกิจการที่เกี่ยวเนื่องเต็มๆ โดยเฉพาะธุรกิจด้านดิจิทัลของบริษัทฯ ที่ให้บริการ Cloud Computing รวมถึงบริการอุปกรณ์ พร้อมออกแบบ ติดตั้ง วางระบบ ทดสอบ และทีมมอนิเตอร์การทำงานของ Data Center
นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลแบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯถือว่าได้ประโยชน์จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2565 ที่มติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการให้บริการ Data Hosting Service จากเดิมที่ต้องเสียภาษีอัตรา 7% เนื่องจาก ในปัจจุบันบริษัทฯ มีการลงทุนในกิจการเกี่ยวกับ Data Center และกิจการที่เกี่ยวเนื่องครอบคลุม เกี่ยวข้องในการจัดเก็บ ประมวลผล และเชื่อมต่อข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือการให้บริการสำรองข้อมูลเพื่อป้องกันเหตุขัดข้องอันทำให้ข้อมูลเกิดความเสียหาย รวมถึง การให้บริการเชื่อมต่อเครือข่ายกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือผู้ให้บริการคลาวด์ และการให้บริการบริหารจัดการระบบและการรักษาความปลอดภัยทางสารสนเทศ
อาทิ ธุรกิจด้านดิจิทัลของบริษัทฯ ซึ่งประกอบไปด้วย สินค้า เทคโนโลยี และโซลูชั่นต่างๆ เช่น Cloud Computing ที่ให้บริการ Cloud ในทุกรูปแบบ IaaS PaaS และ SaaS , IoT Platform ให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับประมวลผลและแสดงผลข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT, Video/Data Analytics & AI ให้บริการระบบ AI เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ ประมวลผลภาพและข้อมูล , Containerized Data Center ให้บริการอุปกรณ์ พร้อมออกแบบ ติดตั้ง วางระบบ ทดสอบ และทีมมอนิเตอร์การทำงานของ Data Center ตลอด 24 ชม. , Telemedicine ให้บริการอุปกรณ์และวางระบบการตรวจรักษาและให้คำปรึกษาทางการแพทย์ทางไกล และ Smart Pole for Digital City ผลิต ติดตั้ง รวมไปถึงการวางระบบแพลตฟอร์มข้อมูลเมือง (City Data Platform) เป็นต้น
“ปัจจุบันบริษัทฯได้มีการลงทุนในกิจการเกี่ยวกับ Data Center อยู่แล้ว และเร็วๆนี้จะมีความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ระดับโลกหลายรายเพื่อดำเนินธุรกิจดังกล่าวอย่างเต็มตัว ซึ่งจากมติ ครม.ในข้างต้น ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ภาครัฐให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะนอกจากจะช่วยให้มีการลงทุนในระดับ Hyperscale ในประเทศไทยมากขึ้นแล้ว ยังเชื่อว่าจะสามารถผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาค (Regional Digital Hub) ได้อย่างแน่นอน” นายประพัฒน์กล่าว
นายประพัฒน์ กล่าวต่อว่า ธุรกิจด้านดิจิทัลแล้ว บริษัทฯยังมีธุรกิจเกี่ยวกับระบบสื่อสารโทรคมนาคม ประกอบด้วย Integrated Network Infrastructure รวบรวมและพัฒนาระบบเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ Satellite, Fiber Optic, 5G และ Wireless , Unified Communications Solution รวบรวมและพัฒนาการสื่อสารหลายรูปแบบและหลายช่องทางไว้ในระบบที่ปลอดภัยเพียงระบบเดียว อาทิ การประชุมทางไกล, Call Center , Digital Broadcasting Solutions ระบบถ่ายทอดสัญญาณภาพดิจิตอล รวมไปถึงการออกแบบห้อง Studio , Specialty Vehicle ประกอบและพัฒนารถสื่อสาร หรือ รถปฏิบัติการพิเศษเพื่อใช้ในภารกิจต่างๆ อาทิ Satellite Mobile Vehicle, Wireless Mobile Vehicle และ Outside Broadcasting Vehicle
นอกจากนี้ ยังให้บริการอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ความเร็วสูงแบบรายเดือน รวมถึงให้บริการด้านระบบสาธารณูปโภคและพลังงานทางเลือก ประกอบด้วย Water Management ให้บริการวางระบบติดตั้งอุปกรณ์ควบคุม บำบัดและการบริหารจัดการน้ำแบบครบวงจรรวมไปถึงการซื้อ ขายน้ำดิบ และน้ำสะอาดที่สามารถดื่มได้, Renewable Energy ให้บริการวางระบบติดตั้งและบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร อาทิ พลังงานจากเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell) การจัดเก็บพลังงานไฟฟ้า (Storage) และ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) และ Waste Management ให้บริการระบบติดตั้งและบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร อาทิ การแปรสภาพนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle)
รวมทั้ง ให้บริการด้านการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์แบบครบวงจร อาทิ บริการตรวจเช็คระบบความปลอดภัยด้านไซเบอร์ (Security Assessment) บริการให้คำปรึกษาและออกแบบโซลูชั่นให้เหมาะสมตรงตามความต้องการขององค์กร (Security Improvement ) บริการบริหารจัดการระบบด้านไซเบอร์แบบ 24 ชม.(Security Operation Center)และ ให้คำปรึกษาด้านมาตรฐาน Cyber Security, Data Security และ Privacy รวมถึงกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) (PDPA Compliance Services) เป็นต้น